วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทัศนคติของคุณ กับ วิชาชีพสถาปนิก

ทำไมถึงอยากเป็นสถาปนิก?

สถาปนิกคืออะไร?? ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั้งผมอายุได้ 17 ปี ผมไม่เคยรู้เรยว่ามีคำคำนี้อยู่บนโลกนี้ด้วย แต่วันที่มันมาถึง ตั้งแต่นั้นมาผมก็ค่อยๆเรียนรู้ถึงความหมายของคำคำนี้มากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆนาทีของชีวิต

ตั้งแต่เล็กจนโต ผมจะคลุกคลีอยู่แต่กับเครื่องดนตรีสากล ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ผมรู้จัก เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ผมรู้จัก คือ Piano เพราะตอนเด็กๆ แม่ ผม และน้องจะอาศัยอยู่ที่บ้านของน้า ที่เป็นน้องสาวของแม่ แต่เพราะแม่แต่งงานช้ากว่าน้องสาว ทำให้ผมมีอายุน้อยกว่าญาติๆ และจุดเริ่มต้นของการเรียนดนตรีชิ้นแรกก็เริ่มขึ้น เนื่องจากว่าญาติๆของผมทุกคนเรียน Piano กันหมด ทำให้ผมซึ่งเป็นเด็กเกิดความอยากรู้และอยากเรียนตาม เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ทุกๆคนทำ และเราก็อยากทำร่วมกับเค้า เพราะว่าในบ้านที่ผมโตมา มีเด็กๆอยู่ทั้งหมด 5 คน และทุกคนสามารถเล่น Piano กันได้หมด พอโตมาซักหน่อย ก็ได้รู้จักกับ Violin เป็นสิ่งที่ผมซึ่งอายุแค่ 6 ขวบ เห็นป้ายแปะอยู่ที่ เกอเธ่ แล้วสนใจอยากรู้อยากเหน ยังจำได้ว่าเป็นวันที่ไปดู Concert อะไรซักอย่างที่นั่น แล้วแม่ก็ถามว่า “อยากจะเรียนมั๊ย แต่ถ้าเรียนแล้ว ห้ามเลิกนะ” ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับดนตรีอยู่ตลอดเวลา ทุกวันหลังเลิกเรียน ผมจะต้องกลับมาบ้าน แล้วก็มาซ้อม Violin ส่วน Piano นั้น ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาซ้อม เพราะว่าเด็กทุกคนในบ้านก็ต้องซ้อมเหมือนกัน ทำให้เราต้องแบ่งเวลากัน เพื่อให้ทุกๆคนได้ซ้อมเหมือนๆกัน ชีวิตดำเนินไป โดยที่ผมไม่เคยได้รู้เรยว่า ชีวิตของเด็กๆคนอื่นเป็นอย่างไร

จนกระทั่งเข้ามัธยม ผมก็นำเอาความสามารถของผมเข้าไปแสดงให้กับอาจารย์ที่โรงเรียนดู เหมือนพรมลิขิต อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ผม เป็นอาจารย์ที่ควบคุมวงดุริยางค์ ทำให้ผมได้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้านมากที่สุด ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเพียงแค่ 5 นาทีก็ถึง ซึ่งที่โรงเรียนนี้ ก็ได้ทำให้ผมรู้จักกับเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่ง Flute ตอนนี้ชีวิตผมไม่ได้มีแค่การไปโรงเรียนกับกลับบ้านแล้ว แต่เริ่มมีกลุ่มเพื่อนที่เราต้องทำกิจกรรมร่วมกันหลังเลิกเรียน ซึ่งก็ไม่พ้นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับดนตรีอยู่ และโลกทัศน์ของผมก็ค่อยๆเปิดกว้างมากขึ้น ผมเริ่มรู้จักชีวิตของเด็กคนอื่นๆมากขึ้น ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตผมที่ผ่านมาเป็นเหมือนมนุษย์หุ่นยนต์ ที่ทำงานตามตารางเวลา - เรียนหนังสือ กลับบ้าน ซ้อมดนตรี ทำการบ้าน นอน – แต่เพื่อนๆที่นี่เริ่มทำให้ผมรู้ว่า ชีวิตยังมีการออกไปเที่ยวหลังเลิกเรียน มีหนังสือการ์ตูน มีไพ่ Pokemon มีการโดนเรียน พูดตรงๆมันทำให้ผมเป็นเด็กที่ดื้อมากขึ้นสำหรับแม่ของผม แต่ ณ จุดจุดนั้น มันคือความสนุกของการใช้ชีวิตที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

ชีวิตของผมดำเนินต่อไป แต่ด้วยสีสันจากเพื่อนที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต จนกระทั่ง ม.4 เป็นช่วงที่มีการสอบแข่งขัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่จุดเปลี่ยนของชีวิตในการย้ายโรงเรียน เพราะเราสามารถเรียนต่อในโรงเรียนเดิมของเราได้ แต่ทุกคนก็อยากที่จะมองหาอะไรที่เริ่มเจาะจงมากขึ้น สำหรับชีวิตและการงานในอนาคตของเรา แม่ผมแนะนำให้ไปเรียนที่มหาลัยมหิดล ในสาขาดนตรี ผมยังคงรู้สึกเสียใจจนถึงวันนี้ ว่าทำไมผมไม่ยอมแม้แต่ไปสอบ แต่ด้วยตอนนั้นเรายังเด็ก และติดเพื่อนกับสังคมนั้นมาก ผมจึงตัดสินใจเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม แต่เหมือนว่าแม่รู้ว่าเราเปลี่ยนไป และเค้าก็อยากให้อะไรดีๆกับเรา แม่จึงลองให้ผมไปสอบทุนเพื่อนไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งทำให้ผมได้มีโอกาสได้ไปเรียนที่ USA ซึ่งที่นี่แหล่ะ ที่เป็นจุดเปลี่ยน ส่งผลให้ผมได้เจอกับคำว่าสถาปัตยกรรมเป็นครั้งแรกในชีวิต

ตอนผมไปเรียนที่อเมริกา ผมก็เป็นเด็กน Nerd คนนึง ชีวิตผมกลับไปเป็นเหมือนชีวิตวัยประถม เรียน และ กลับบ้าน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ผมเริ่มค้นพบว่าผมมีความสามารถอื่นนอกจากดนตรี ผมเรียนวิชาศิลปะที่นั่น และผมหลงรักมัน มันเป็นชั่วโมงสุดท้ายของวันที่ผมรอคอย เพราะตารางเวลาเรียนของเขาไม่เหมือนของเรา เค้าจะเรียนเหมือนกันทุกวันตลอดทั้งเทอม และก็เป็นสิ่งที่ผมมีความสุขมาก แต่ไม่ใช่ว่าผมทิ้งดนตรีไป เพราะว่าผมก็ยังคงอยู่ในวง Band ของที่นั่น และเพื่อนกลุ่มเดียวที่ผมมีก็คือกลุ่มคนใน Band

หลังจากกลับมาที่ประเทศไทย เป็นช่วงม. 6 พอดี เป็นช่วงที่ผมต้องรีบเรียนตามคนอื่นให้ทัน บวกกับต้องรู้หนทางของชีวิตที่ผมต้องการจะเรียนในอนาคตแล้วหล่ะ แต่ผมจะเรียนอะไรหล่ะ? ดนตรีเป็นเหมือนสิ่งที่ผมทำมาทั้งชีวิต ทำให้ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า ผมควรจะทำมันดีมั๊ย อาจเป็นเพราะว่าผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างปิดกั้นสังคมของผม ทำให้ผมไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ จริงๆนะ ผมคิดอย่างนั้น แต่อาจเป็นเพราะผมติดเพื่อนมากเกินไป ทำให้แนวความคิดที่จะเรียนต่อในสายดนตรีของผม ไม่อยู่ในจินตนาการ แล้วผมก็เริ่มคิด เพื่อนผมคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่า เค้าคิดว่าเค้าจะเรียนสถาปัตยฯ ผมงงมาก ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเลยแม้แต่น้อย รู้แต่ว่า ผมเรียนสายวิทยฯมา และสถาปัตยต้องสอบวิชา ฟิสิกส์ และเลข บอกกับเป็นวิชาที่เกี่ยวกับศิลปะ ผมก็ โอเคเลย ศิลปะเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งค้นพบว่าตัวเองทำได้ค่อนข้างดี และเราก็ชอบ บวกกับวิชาในสายวิทย์ฯ ที่เราเลือกเรียนมาตั้งแต่ม.4 ผมจึงเลือกที่จะสอบในสาขานี้ และเป็นสาขาเดียวที่ผมเลือกที่จะสอบ เพราะตอนนั้นผมไม่รู้แล้วว่า ถ้านอกเหนือจากสถาปัตยกรรมศาสตร์แล้ว ผมจะเรียนอะไรดี??

พอผมรู้ว่าผมจะหันหน้าทางไหน ผมก็เริ่มเคลียทางเดินของผมให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นมากขึ้น ผมไปเรียนพิเศษวาดรูปหลายๆที่ ทั้งติวตัวต่อตัว และเรียนตามโรงเรียนติวทั่วไป จากทั้งเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในโรงเรียนเป็นคนแนะนำ และทั้งจากลูกของเพื่อนแม่ที่ต้องการจะเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เหมือนกัน ซึ่งผมก็ทำได้ดี และผลการสอบที่ออกมาก็เกินความคาดหมายของผม ทั้งที่ผมมีเวลาแค่เพียงปีเดียวในการเรียน เทียบกับเพื่อนผมหลายๆคนที่รู้ตัวและทำการเตรียมสอบมาก่อน แต่ผลที่ออกมา คะแนนที่ได้มา มันทำให้ผมมีความมั่นใจที่จะเรียนในสายวิชานี้ และ ณ ตอนนั้น มันรู้สึกได้ว่า นี่แหล่ะ คือสิ่งที่เราเลือกที่จะทำ และถูกต้องแล้ว

ก้าวแรกสู่การเป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ลาดกระบัง เป็นอะไรที่สวยงาม การเรียนในทุกวิชา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และลงตัวสำหรับเรา ปีหนึ่งเป็นปีที่ผลการเรียนของผมดีที่สุด รุ่นพี่และเพื่อนดูเหมือนจะเป็นกลุ่มสังคมที่คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนกันตลอดเวลา พี่มีงานเราก็ช่วย เพื่อนมีงานเราก็ทำ พอถึงคราวเรา เค้าก็ไม่เคยที่ลืมเรา แต่ทุกคนเต็มที่ ที่จะช่วยเรา ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ทุกอย่างดูสวยหรู ดั่งฝัน

พอก้าวเข้าวันแรกของปี 2 ผมยังคงตกใจไม่ลืมจนวันนี้ “ทำไมมันช่างแตกต่างกับปี 1 นัก” วันแรกของปี 1 เหมือนตอนเรียนมัธยม – ประถมนิเทศ ขานชื่อ พูดคุยกันสนุกสนานระหว่างอาจารย์ และนักศึกษา – แต่พอปี 2 วันแรกที่ผมเจอคือ Project และนัดส่งงานมากมาย เหมือนกับเราหายใจอยู่ปรกติ แล้วอยู่ๆก็เหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่อก เริ่มที่จะเรียนรู้คำว่าการตัดใจ เริ่มที่จะหันเข้าหาที่พึ่งทางใจมากขึ้น ความเครียด ปวดหัวมันรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา เริ่มไม่มีเวลากลับบ้าน เริ่มจำไม่ได้ว่าการเข้าสังคม เจอผู้คนหน้าตาใหม่ๆต้องทำอย่างไร วางตัวอย่างไร เริ่มที่จะเหลือแค่ตัวเอง

พอก้าวเข้าปี 3 ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเป็นเหมือนสิ่งที่คุ้นเคย เริ่มเข้าใจสัจธรรมของการเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และเป็นปีแรกที่ผมได้ลองตัดสินใจไปฝึกงานกับบริษัทของคุณอา ที่อยู่ที่ สิงคโปร์ การไปฝึกงานที่นั่นไม่ยากลำบากมาก แต่เหงาสุดๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถอยู่ได้ แต่มันคือเพราะมันคือประเทศแห่งพนักงานกินเงินเดือน ทุกวัน และแทบจะทุกคนมีหน้าที่คือตื่นไปทำงาน และกลับบ้านมานอน เพราะเราไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้อีกแล้ว มันเหนื่อย มันล้ามันทรมาน และการทำงานกับเพื่อนร่วมงานก็ไม่ใช่สิ่งที่สนุก สิคโปร์ แตกต่างกับอเมริกาเป็นอย่างมาก ที่อเมริกา มีภาษาหลักเพียงภาษาเดียวคือ ภาษาอังกฤษ แต่ที่นี่เหมือนสังคมที่มีสังคมย่อยๆแตกสาขาอยู่เต็มไปหมด เป็นที่รวมของทุกชนชาติในเอเซีย ภายใน 1 บริษัท จะมีภาษาที่แตกต่างกันออกไปอยู่เป็นกลุ่มๆต่างกันไป และกลุ่มคนที่พูดภาษาเดียวกันมักจะจับกลุ่มกันและอยู่กันอย่างสนิทชิดเชื้อ เพียงแค่เราไปอยู่ใหม่ ไม่เพียงแค่ต้องอยู่คนเดียวเพราะว่ายังไม่มีเพื่อนใหม่แล้ว เรายังไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องด้วยภาษาที่แตกต่างกันอีกด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่พูดภาษาอังกฤษและไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด แต่เหมือนว่าเขาพูดภาษาอังกฤษในรูปแบบภาษาของเขาเองซึ่งมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และเข้าใจ ทำให้ช่วงเวลา 1 เดือนที่ฝึกงานอยู่ที่นั่นเป็นอะไรที่อึดอัดที่สุดอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากกลับมาและเริ่มเรียนปี 4 ทัศนคติต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนไป มันก็ไม่ใช่อะไรที่เราเลือกได้ ถ้าเราไม่มีทุกอย่างเพรียบพร้อม ที่จะเลือกไม่ทำงานเป็นพนักงานเงินเดือน แม้แต่คนมีเงินบางคนยังเลือกที่จะลองทำงานเป็นพนักงานเงินเดือนก่อนในช่วงแรกๆของชีวิต เพื่อนเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานต่างๆ เพื่อเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต เป็นไปไม่ได้หรอกที่อะไรอะไรจะง่ายดายและสวยงามอย่างที่เราต้องการ ยิ่งถ้าคิดว่าเราไม่อยากโต อยากจะเป็นเด็กตลอดไป เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำงานและเจอกับความเป็นชีวิตจริง มันยิ่งยากไปใหญ่ ผมเริ่มที่จะคิด เริ่มที่จะไตร่ตรองดูว่าอะไรที่เราอยากจะทำ อะไรที่เราต้องการจริงๆ ถ้าเราไม่เรียนแล้วต่อไปแล้วเราจะทำอะไร แต่มันเหมือนเราต้องเริ่มต้นจากศุนย์ใหม่ มันดีแล้วหรือ มันสายเกินไปรึเปล่า เราคิดทบทวนดีแล้วหรือยัง ความขีเกียจเริ่มครอบงำ ความเบื่อหน่ายทำให้เราไม่มีกระจิตกระใจที่จะทำงาน คิด หรือแม้แต่วางแผนว่าเราควรจะทำอะไรต่อ เริ่มที่จะเรียนไปเรื่อยๆ ทำงานเพื่อให้มีส่งบ้างให้มีคะแนน ทำให้ผลการเรียนที่ออกมาแย่ลงมากๆ และต้องเรียนซ้ำอีกปี แต่แม้กระนั้น เราก็ยังคงคิดว่า “ไม่เป็นไรหน่า.. เรียนอีกปีก็ไม่เห็นจะเป็นไร รีบจบไปออกไปตอนนี้ก็ไม่มีงานทำ จะได้มีเวลาทำ Thesis เต็มๆอีกปีด้วย” แต่ทุกครั้งที่มีคนถามว่า เอ้า แล้ว Thesis จะทำอะไรหล่ะ ทั้งที่เค้าไม่รู้ หรืออาจจะลืม แต่มันก็เจ็บปวดทุกครั้งไป การเรียนสถาปัตยฯ ไม่ใช่แค่หนักและเหนื่อย อย่างที่หลายคนบอกว่า “เรียนหนักเหมือนควาย จบออกไปก็ยังต้องทำงานหนักเหมือนควายอีก” แต่มันคือหยาดเหงื่อของแม่เรา ที่ทำงานหนัก เพื่อเอาตังมาส่งเสียให้เราเรียน ปีๆนึงไม่ใช่ว่าจะเสียแค่ค่าเทอมเท่านั้น ยังต้องเสียค่าอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งคิดๆดูแล้ว เราก็ใช้เงินไม่ได้ต่างกับพวกที่เค้าเรียนมหาลัยเอกชนเท่าไหร่หรอก น่าจะตั้งใจเรียนให้มันจบๆหน่อย ไอ้ที่ว่าจะทำอะไรหลังเรียนจบมันก็เป็นอีกเรียนหนึ่ง เพราะมันก็ยังคงเป็นเรื่องของอนาคต ปี 4 ไปผึกงานมาก็เห็นแล้วว่าอนาคตของสถาปนิกกินเงินเดือนในประเทศไทยเป็นยังไง แต่ผมบอกเลยว่าผมชอบมันมากกว่าที่สิงคโปร์นะ อย่างน้อยเราก็มีเพื่อน ทำให้อะไรๆที่เราเคยคิดมันมองดูกว้างขึ้นนิดหนึ่ง มันก็คงไม่แย่เกินไปถ้าเราจะรีบเรียนจบแล้วค่อยๆมองหาหนทางที่เราจะเดินในการงานเบื้อหน้า ยังไงอนาคตก็คงไม่มืดมิดมากนัก ถ้าหากเรามีปริญญาสักใบไว้ประดับตัว อย่างน้อยก็ทำให้แม่ภูมิใจ ว่าลูกที่เค้าประคบประหงมเลี้ยงดูมาไม่ได้เหลวแหลก แต่ก็เป็นผู้เป็นคนกับเค้าบ้าง

อนาคตของผมจะเป็นยังไง เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่จะต้องเจอคืออะไร ผมยังตอบไม่ได้จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่ว่า จบแล้วจะทำอะไรดี งานที่บ้านก็มี แต่มันก็เป็นเหมือนของตาย ที่เรายังกล้าๆกลัวๆที่จะเอาตัวเองเข้าไปผูกมัน เพราะถ้าเราเริ่มทำแล้วมันเหมือนว่าจะเลิกไม่ได้ บวกกับเป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่ว่าเราต้องเอาอะไรเข้าไปแลก แม่ก็ทำอยู่ทุกวัน เห็นเข้าเหนื่อยแล้วก็คิดขี้เกียจว่าเราไม่อยากไปเหนื่อยเหมือนเขา แต่ครั้นจะให้เราออกไปทำงานบริษัท ก็เหมือนกับที่เรารู้ๆมาว่ามันจะเป็นยังไง ทำงานถ้าไม่ได้เลือนขั้นภายใน 5 ปี เราก็คงโดนเด้งออก พออายุใกล้ๆ 30 จะให้ไปหางานใหม่ที่ไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พอว่าจะให้ไปทำงานอย่างอื่น แล้วเราจะไปทำอะไร ที่เรียนๆมาก็รู้อยู่แค่นั้น จะให้ไปทำอย่างอื่นที่คนเค้าเรียนมาสายตรงก็คงจะสู้เขาไม่ไหว ผมยังเคยคิดเลย ว่าความตายจะเป็นทางออกที่ง่ายกว่ารึเปล่า?? แต่ไอ้ครั้นจะฆ่าตัวตายก็กลัวเป็นบาปกะตัวเองติดไปชาติหน้า แต่ถ้าจะวานให้คนอื่นมาฆ่าเรา แล้วใครจะไปทำให้ ผมเสียเวลาวันละเป็นชั่วโมงคิดว่าจะเอาอะไรกะชีวิตดี ก่อนจะทำงานตอนขี้เกียจๆก็คิด ตอนว่างๆไม่มีอะไรทำก็คิด แม่เราก็แก่ตัวลงทุกวัน ไอ้นั้นก็รู้แล้วคิดอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลยคิดว่า รีบเรียนให้จบก่อนดีกว่า เวลาอีก 2 ปีมันคงไม่ช้าเกินไปที่จะทำผลงานดีๆให้แม่ภูมิใจ และก็คงไม่สายเกินไปที่เค้าจะรอเรา แล้วเรื่องของอนาคตกับสิ่งที่เราจะทำ เดี๋ยวมันก็คงมาเอง ชีวิตของผม ผมคิดว่าผมทำบุญมาดีพอ เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไร ก็มักจะราบรื่นพอดูเลยดีเดียว และอนาคตข้างหน้าผมก็หวังเหมือนกันว่า พอเรียนจบแล้ว มันก็คงจะมีโอกาศอะไรซักอย่างเข้ามาให้เราได้ลองทำดู และค่อยๆศึกษากันต่อไป จะเป็นพนักงานเงินเดือนหรืออะไรก็ช่าง แค่มีการงาน มีเงินเดือน ไม่ต้องแบมือขอใคร เท่านั้นแม่เราก็คงจะภูมิใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น ที่ได้เห็นเลือดเนื้อของเค้า รู้จักทำมาหากิน และเป็นผู้เป็นคน โดยไม่เสียแรงที่เค้าเลี้ยงดูมาแล้วหล่ะ


สถาปนิกที่ผมชื่นชอบ
Frank Lloyd Wright



ผลงาน Falling Water house